น้ำเปล่าที่ไม่ใช่แค่น้ำเปล่าๆ
เห็นใสๆ ไม่มีสี แต่น้ำที่เราเลือกดื่มกันนั้นมีหลายชนิด แต่ละชนิดมีความแตกต่างและมีประโยชน์อย่างไรไปติดตาม
น้ำแร่
จากแหล่งน้ำพุใต้ดินตามธรรมชาติ อุดมด้วยแร่ธาตุ อาทิ แคลเซียม แมกนีเซียม ไบคาร์บอเนต ฟลูออไรด์ ฯลฯ แต่ละชนิดจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับชั้นหินของแหล่งน้ำนั้นๆ ที่เป็นตัวกรอง แต่น้ำที่ได้ต้องใสสะอาด ไม่มีตะกอน ไม่มีกลิ่น มีค่าความเป็นกรดด่างหรือค่า pH ระหว่าง 7-8 เป็นด่างอ่อนๆ ช่วยปรับสมดุลกรดด่างในร่างกาย คนสุขภาพดีจะมีค่า pH อยู่ที่ 7.3-7.4 แต่ผู้ที่มีอาการบวมน้ำ เป็นความดัน โรคหัวใจ โรคไต และมีการหลั่งกรดในกระเพาะมาก ไม่ควรดื่มน้ำแร่เพราะถ้าได้รับแร่ธาตุบางชนิดมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้
น้ำด่างหรือน้ำอัลคาไลน์
น้ำดื่มชนิดนี้มีค่า pH ประมาณ 8-9 ซึ่งก็คือคุณสมบัติของน้ำแร่ธรรมชาติ มีทั้งน้ำด่างธรรมชาติและน้ำด่างสังเคราะห์จากเครื่องทำน้ำด่าง จะมีแร่ธาตุอย่างแคลเซียม โพแทสเซียม แมกนีเซียม โซเดียม และโมเลกุลของน้ำด่างมีขนาดเล็ก ร่างกายจึงดูดซึมไปใช้ได้ง่าย ช่วยปรับสมดุลกรดเกินในร่างกาย ไม่ควรดื่มน้ำด่างพร้อมหรือหลังการกินอาหาร เพราะจะทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติ
น้ำ RO (Reversed Osmosis)
น้ำดื่มที่ผ่านระบบกรองน้ำที่มีความละเอียดสูง สามารถดูดซับเชื้อโรค สิ่งปนเปื้อน หรือแม้แต่แร่ธาตุออกไป เพื่อให้ได้น้ำดื่มบริสุทธิ์เทียบเท่าน้ำกลั่น เหมาะที่จะดื่มเพื่อดับกระหายมากกว่าเอาประโยชน์จากแร่ธาตุต่างๆ ในงานวิจัยทางระบาดวิทยาของสวีเดนระบุว่า การดื่มน้ำชนิดนี้นานเป็นปีๆ อาจทำให้เกิดภาวะพร่องแร่ธาตุ เสี่ยงต่อการเกิดโรค เช่น ร่างกายเสียสมดุล ทำให้เวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นตะคริว และระบบไหลเวียนเลือดผิดปกติ เป็นต้น
น้ำดื่มผสมวิตามิน
มีทั้งแบบน้ำเปล่า น้ำแร่อัดแก๊สหรือสปาร์กิ้งวอเตอร์ที่เติมวิตามินสังเคราะห์และสารอาหาร เช่น วิตามินบี วิตามินซี กรดโฟลิก ฯลฯ ปราศจากน้ำตาล ให้พลังงาน 0 แคลอรี แต่จริงๆ แล้ววิตามินและสารอาหารที่ใส่ลงไปมีปริมาณน้อยจึงอาจไม่ส่งผลในการบำรุงสุขภาพนัก และหากอ่านฉลากให้ดีๆ จะพบว่ามีการเติมโซเดียมและสารแต่งกลิ่น แต่งรส หากดื่มทุกวันๆ อาจได้รับสารเหล่านี้ไปเต็มๆ
เอาเป็นว่าเลือกน้ำดื่มที่สะอาด และดื่มให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ก็จะได้ประโยชน์เน้นๆ แน่นอน